คู่มือ

คู่มืออย่างง่ายเพื่อการระบุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Sponsored Products

เคล็ดลับที่จะช่วยคุณกระตุ้นยอดขายผ่านการระบุเป้าหมายด้วย Sponsored Products

บทนำเรื่องการระบุเป้าหมาย Sponsored Products

การระบุเป้าหมายที่รัดกุมเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับแคมเปญของsponsored products และสามารถช่วยในการจับคู่ความตั้งใจที่จะซื้อของนักช้อปกับสินค้าของคุณได้

การระบุเป้าหมายคืออะไร

การระบุเป้าหมาย คือวิธีการที่คุณกำหนดบริบทที่คุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏ

โดยสามารถทำได้หลายวิธี วิธีการที่ใช้กันมากที่สุดคือการใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงกับโฆษณาของคุณกับคำค้นหาเกี่ยวกับการช้อปปิ้งที่ลูกค้าใช้ เมื่อมองหาบางสิ่งบางอย่างออนไลน์

คู่มือนี้จะสำรวจทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมาย Sponsored Products ด้วย HAQM Ads อ่านต่อไปเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับ:

  • ตัวเลือกการระบุเป้าหมายสำหรับแคมเปญการโฆษณา Sponsored Products ของคุณ
  • วิธีการใช้การระบุเป้าหมาย Sponsored Products เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้กับนักช้อปที่เกี่ยวข้องบน HAQM
  • การบรรลุวัตถุประสงค์ทางการโฆษณาของคุณโดยใช้การระบุเป้าหมาย

ตัวเลือกการระบุเป้าหมายด้วย Sponsored Products

ในบทนี้ คุณจะค้นพบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างตัวเลือกการระบุเป้าหมายต่าง ๆ สำหรับแคมเปญ Sponsored Product

ก่อนอื่น ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงตัวเลือกการระบุเป้าหมาย นี่คือคำจำกัดความที่สำคัญสองประการ

  • คำค้นหาในการช้อปปิ้งของลูกค้า: คำและกลุ่มคำที่ลูกค้า HAQM ใช้เพื่อค้นหาสินค้าในร้านค้าของ HAQM
  • คีย์เวิร์ด: กลุ่มของคำที่คุณประมูลในแคมเปญแบบดำเนินการด้วยตนเอง เพื่อให้ตรงกับคำค้นหาในการช้อปปิ้งของลูกค้า

Sponsored Products ทำให้คุณมีตัวเลือกการระบุเป้าหมายสามตัวเลือก

  • การระบุเป้าหมายอัตโนมัติ
  • การระบุเป้าหมายเอง
  • การระบุเป้าหมายเชิงลบ

มาดูตัวเลือกเหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

การระบุเป้าหมายอัตโนมัติ

ด้วยการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ โฆษณาของคุณจะจับคู่โดยอัตโนมัติกับคีย์เวิร์ดและสินค้าที่คล้ายกับสินค้าที่คุณกำลังโฆษณา โดยอ้างอิงจากคำค้นหาเกี่ยวกับการช้อปปิ้งก่อนหน้าและข้อมูลสินค้าของคุณ

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นใช้ Sponsored Products เป็นครั้งแรก ตัวเลือกการระบุเป้าหมายนี้จะสามารถช่วยให้คุณเปิดตัวแคมเปญใหม่ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว หากคุณเป็นผู้โฆษณาที่เชี่ยวชาญ การทำเช่นนั้นสามารถช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มการค้นหาและใช้เป็นแหล่งที่มาของการค้นพบคีย์เวิร์ดสำหรับแคมเปญด้วยตนเองของคุณ

การระบุเป้าหมายเอง

ด้วยการระบุเป้าหมายเอง คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดหรือสินค้าที่คุณต้องการระบุเป้าหมายด้วยตนเองได้ ตัวเลือกการระบุเป้าหมายนี้ช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการเลือกเป้าหมายของคุณเองและจัดการประสิทธิภาพที่ระดับเป้าหมาย

การกำหนดเป้าหมายเชิงลบ

การระบุเป้าหมายเชิงลบช่วยให้คุณยกเว้นคีย์เวิร์ด สินค้า หรือแบรนด์ที่คุณไม่ต้องการให้เชื่อมโยงกับโฆษณาของคุณ เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและการใช้จ่ายของแคมเปญ สามารถใช้ได้ทั้งแคมเปญอัตโนมัติและแคมเปญที่ตั้งค่าด้วยตนเอง คุณสามารถเพิ่มเป้าหมายเชิงลบได้:

  • ทั้งตอนที่คุณกำลังตั้งค่าแคมเปญ (ในหน้าต่าง 'สร้างแคมเปญ' ให้เลื่อนลงไปที่ 'การกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดเชิงลบ' หรือ 'การระบุเป้าหมายสินค้าเชิงลบ')
  • และไปเพิ่มในภายหลังโดยการคลิกที่ชื่อแคมเปญของคุณในคอนโซลการโฆษณา และไปที่แท็บ 'คีย์เวิร์ดเชิงลบ' ทางด้านซ้าย

การตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การระบุเป้าหมาย

คุณสามารถเลือกกลยุทธ์การระบุเป้าหมายได้ตอนที่คุณสร้างแคมเปญใหม่ในคอนโซลโฆษณา เมื่อแคมเปญเริ่มเปิดใช้งาน คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนการระบุเป้าหมายแคมเปญได้ ดังนั้น หากคุณตัดสินใจจะเปลี่ยนกลยุทธ์การระบุเป้าหมาย คุณจะต้องกำหนดแคมเปญใหม่

การระบุเป้าหมายอัตโนมัติด้วย Sponsored Products

การระบุเป้าหมายอัตโนมัติเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วในการเริ่มต้น

HAQM Ads ทำงานโดยจับคู่โฆษณาของคุณกับคำค้นหาและสินค้าที่นักช้อปค้นหา ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญแก่คุณ ด้วยการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ โฆษณาของคุณจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะปรากฏในหน้าผลการช้อปปิ้งของ HAQM เช่นเดียวกับหน้ารายละเอียดสินค้า โดยใช้กลยุทธ์เริ่มต้นหลายแบบที่เราจัดการให้โดยอัตโนมัติเพื่อจับคู่โฆษณาของคุณกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องของลูกค้าอย่างเหมาะสม

มีกลยุทธ์การระบุเป้าหมายอัตโนมัติสี่แบบด้วยกัน:

  • การจับคู่ที่ใกล้เคียงกัน
  • การจับคู่แบบหลวม
  • สิ่งทดแทน
  • ส่วนเสริม

มาดูตัวเลือกเหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

  • การจับคู่ที่ใกล้เคียงกัน HAQM จะทำให้โฆษณาของคุณปรากฎต่อหน้านักช้อปที่ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณที่สุด หากสินค้าของคุณคือ "Kitchen Smart ซึ่งเป็นเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่แบบสแตนเลสขนาดใหญ่" เราจะแสดงโฆษณาเมื่อนักช้อปใช้คำค้นหาอย่าง "เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซขนาดใหญ่" และ "เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซสแตนเลส"
  • การจับคู่แบบหลวม HAQM จะแสดงโฆษณาของคุณต่อนักช้อปที่ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณโดยคร่าว ๆ หากสินค้าของคุณคือ "Kitchen Smart ซึ่งเป็นเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ่ขนาดใหญ่แบบสแตนเลส" เราอาจแสดงโฆษณาเมื่อนักช้อปใช้คำค้นหา เช่นคำว่า "เครื่องชงกาแฟ" และ "เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซสีเงินขนาดใหญ่"
  • สิ่งทดแทน: เราอาจแสดงโฆษณาของคุณต่อนักช้อปที่เรียกดูหน้ารายละเอียดของสินค้าที่คล้ายคลึงกับของคุณ หากสินค้าของคุณคือ "Kitchen Smart ซึ่งเป็น เครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ สแตนเลส โลหะ" เราจะแสดงโฆษณาในหน้ารายละเอียดที่มีคำว่า "กาแฟบด" และ "แก้วเอสเปรสโซ"
  • ส่วนเสริม: เราอาจแสดงโฆษณาของคุณต่อนักช้อปที่เข้ามาชมหน้ารายละเอียดสินค้าที่ใช้เสริมกับสินค้าของคุณ หากสินค้าของคุณ คือ "Kitchen Smart ซึ่งเป็นเครื่องชงกาแฟเอสเปรสโซ สแตนเลสสตีล โลหะ" เราจะแสดงโฆษณาในหน้ารายละเอียดที่มี "ผ้าคลุมเตียงควีนไซส์" และ "หมอนขนนก"

โปรดจำไว้ว่า

คุณสามารถกำหนด "การประมูลเริ่มต้น" ราคาเดียวในแคมเปญอัตโนมัติของคุณ หรือกำหนดราคาประมูลตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น การจับคู่ที่ใกล้เคียงกันที่สุด การจับคู่แบบหลวม สิ่งทดแทนและส่วนเสริม ในการจัดการประสิทธิภาพของแคมเปญ ขอแนะนำให้ใช้การเพิ่มและลดราคาการประมูลแบบไดนามิก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด หรือหากคุณต้องการปรับให้เหมาะสมตามผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ให้ลองใช้กลยุทธ์ไดนามิกแบบลดเท่านั้น

เมื่อใดจึงควรเลือกการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ

  • คุณต้องการเริ่มต้นใช้งาน Sponsored Products แต่คุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นจากที่ใด
  • คุณไม่มีเวลาหมั่นมาคอยปรับแคมเปญของคุณให้เหมาะสมและต้องการแคมเปญที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามแนวโน้มและตามความแปรผันตามฤดูกาล
  • คุณต้องการเพิ่มการเข้าถึงและเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากขึ้น
  • คุณกำลังเปิดตัวสินค้าหมวดหมู่ใหม่ ๆ และต้องการค้นหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการค้นหาการช้อปปิ้ง
  • คุณต้องการระบุคีย์เวิร์ดใหม่ที่กระตุ้นยอดคลิกและยอดขาย ซึ่งคุณสามารถเพิ่มไปยังแคมเปญแบบจัดการด้วยตัวเองได้

ไปที่ตัวสร้างแคมเปญในบัญชีของคุณ เพื่อเปิดตัวแคมเปญการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ

เพิ่งเริ่มต้นใช้งาน Sponsored Products ใช่หรือไม่

เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยแคมเปญการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ HAQM Ads จะเลือกคีย์เวิร์ดให้คุณด้วยตัวเลือกนี้ ดังนั้นคุณจึงสามารถเรียนรู้ว่าสินค้าของคุณกำลังถูกค้นพบอย่างไรในร้านค้าของ HAQM เราขอแนะนำให้คุณปล่อยให้แคมเปญอัตโนมัติทำงานประมาณสองสัปดาห์ ก่อนที่จะสร้างแคมเปญด้วยตนเอง

มีแคมเปญด้วยตนเองที่ใช้งานอยู่แล้วหรือไม่

การระบุเป้าหมายอัตโนมัติเป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยมสำหรับแคมเปญด้วยตนเอง และผู้โฆษณามักจะประสบความสำเร็จในการใช้งานทั้งสองอย่าง เมื่อใช้เมทริกซ์จากรายงานคำค้นหาของแคมเปญอัตโนมัติ คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดหรือสินค้าที่ดีที่สุดเพื่อระบุเป้าหมายสำหรับแคมเปญการระบุเป้าหมายด้วยตนเองของคุณ

การใช้ทั้งการระบุเป้าหมายอัตโนมัติและการระบุเป้าหมายเองมีประโยชน์หลายประการด้วยกัน การเรียกใช้งานแคมเปญอัตโนมัติสามารถช่วยให้คุณตามทันแนวโน้มการช้อปปิ้งล่าสุด ซึ่งจะส่งผลต่อกลยุทธ์การระบุเป้าหมายสำหรับแคมเปญด้วยตนเอง การเพิ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่คุณหาได้ไว้ในแคมเปญแบบจัดการด้วยตนเองของคุณเพื่อการประมูลคีย์เวิร์ดและสินค้าที่แข่งขันได้มากขึ้นจะช่วยให้คุณบรรลุวัตถุประสงค์ของแคมเปญได้

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายอัตโนมัติผ่านหน้าช่วยเหลือของเรา

การระบุเป้าหมายเอง (คีย์เวิร์ด) ด้วย Sponsored Products

การระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ดช่วยให้คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดเฉพาะเพื่อเพิ่มในแคมเปญของคุณ การทำเช่นนี้ช่วยให้สินค้าของคุณปรากฏขึ้นในหน้าผลการช้อปปิ้งและหน้ารายละเอียดสินค้า

เวลาที่สร้างหรืออัปเดตแคมเปญคีย์เวิร์ด คุณสามารถเลือกจากรายการคีย์เวิร์ดที่แนะนำของเรา ป้อนคีย์เวิร์ดของคุณเอง หรือใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันก็ได้

การค้นคว้าคีย์เวิร์ดอาจเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานาน ดังนั้นเพื่อช่วยคุณในการเลือกคีย์เวิร์ด เราได้เตรียมคำแนะนำคีย์เวิร์ดพร้อมกับราคาประมูลที่แนะนำไว้ให้แล้ว เราจัดสรรคำแนะนำเหล่านี้ไว้สำหรับคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจทางธุรกิจ แทนที่ต้องมาทำการวิจัยคีย์เวิร์ด

คำแนะนำเหล่านี้ได้มาจากหลากหลายวิธีการโดยการผสมผสานข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องจากทั่วทั้งร้านของเรา

  • อันดับแรก เราจะประเมินว่าคีย์เวิร์ดใดใช้งานได้ดีสำหรับคุณในอดีต รวมถึงคีย์เวิร์ดใดที่ใช้งานได้ดีบน HAQM ในวงกว้าง
  • อันดับที่สอง เราจะมองว่าลูกค้ากำลังค้นหาสิ่งใดบน HAQM และการค้นหาเหล่านี้เปลี่ยนเป็นยอดขายบ่อยครั้งแค่ไหน

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทการจับคู่

ประเภทการจับคู่นั้นถูกใช้เพื่อควบคุมการระบุเป้าหมายของคุณ ช่วยให้คุณปรับแต่งได้อย่างแม่นยำว่าโฆษณาของคุณจะมีสิทธิ์แสดงต่อคำค้นหาแบบใดบ้าง ประเภทการจับคู่สามประเภทสำหรับการระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ด คือ:

  • การจับคู่คีย์เวิร์ดแบบกว้าง
  • การจับคู่กลุ่มคำ
  • การจับคู่แบบแม่นยำ

มาดูตัวเลือกเหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

  • จับคู่คีย์เวิร์ดแบบกว้าง: ประเภทการจับคู่นี้จะทำให้โฆษณาของคุณปรากฎขึ้นในวงกว้างเมื่อมีการใช้คำค้นหาการช้อปปิ้งของลูกค้า คำค้นหาช้อปปิ้งสามารถมีคำที่มีคีย์เวิร์ดเรียงกันอย่างไรก็ได้ ซึ่งอาจรวมถึงรูปเอกพจน์ รูปพหูพจน์ การผันคำต่าง ๆ คำพ้องความหมาย และคำที่เกี่ยวข้องกับความหมายของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ และบริบทของสินค้าที่โฆษณา คีย์เวิร์ดนั้นอาจไม่อยู่ในคำค้นหาช้อปปิ้งของลูกค้าก็ได้

    ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ด “รองเท้าผ้าใบ” อาจจับคู่กับคำค้นหาในการช้อปปิ้งของลูกค้า เช่น “รองเท้าทำจากผ้าใบ” “รองเท้าผ้าใบ” “รองเท้าบาสเกตบอล” “รองเท้ากีฬา” “คลีทติดรองเท้า” “รองเท้าวิ่ง” หรือ “รองเท้าแตะวิ่ง”
  • การจับคู่วลี: ประเภทการจับคู่นี้จะมีลักษณะเข้มงวดกว่าการจับคู่คีย์เวิร์ดแบบกว้าง และโดยทั่วไปจะส่งผลให้โฆษณาของคุณอยู่ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ซึ่งให้ความสมดุลระหว่างการออกแสดงในวงกว้างที่คุณจะได้รับจากการจับคู่คีย์เวิร์ดแบบกว้างและการระบุเป้าหมายที่แม่นยำสูงซึ่งสามารถทำได้ด้วยการจับคู่แบบแม่นยำ คำค้นหาที่ตรงกันจะมีส่วนประกอบทั้งหมดของคีย์เวิร์ดที่ระบุเป้าหมายในลำดับเดียวกัน การจับคู่วลียังรวมถึงรูปแบบพหูพจน์ของคีย์เวิร์ดด้วย

    ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังโฆษณา "ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย Doppler" การจับคู่วลีจะปรากฏกับคำค้นหาเกี่ยวกับการช้อปปิ้ง เช่น "ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย Doppler สีฟ้า" "ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย Doppler" และ “ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้ายผืนใหญ่ Doppler”
  • การจับคู่แบบแม่นยำ: การจับคู่นี้เป็นประเภทการจับคู่ที่เข้มงวดที่สุด แต่อาจมีความเกี่ยวข้องกับการค้นหามากกว่า และมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดอัตราคอนเวอร์ชันสูงสุด คำค้นหาจะจับคู่แบบคำต่อคำ (คำเดียวกันและเรียงแบบเดียวกัน) กับคีย์เวิร์ดที่ระบุเป้าหมายไว้ การจับคู่แบบแม่นยำจะรวมถึงรูปแบบพหูพจน์ของคีย์เวิร์ดด้วย

    ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังโฆษณา "ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย Doppler" การจับคู่แบบแม่นยำจะปรากฏต่อคำค้นหาในการช้อปปิ้ง เช่น "ผ้าปูที่นอนผ้าฝ้ายชุด Doppler" และ “ชุดผ้าปูที่นอน Doppler ผ้าฝ้าย”

โปรดจำไว้ว่า

  • คีย์เวิร์ดไม่สนใจการใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ ดังนั้นเราจะจับคู่ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็กในคำค้นหา
  • คีย์เวิร์ดหนึ่งคำสามารถมีคำได้สูงสุด 10 คำ และจำนวนตัวอักษรสูงสุด 80 ตัว
  • คีย์เวิร์ดสามารถประกอบไปด้วยตัวอักษร ตัวเลข หรือช่องว่างได้
  • ไม่อนุญาตให้ตัวอักษรพิเศษอื่น ๆ เช่น เครื่องหมายคำถาม เครื่องหมายทับ เครื่องหมายคำพูด เครื่องหมายและ หรือแบ็กสแลช

ไปที่ตัวสร้างแคมเปญในบัญชีของคุณ เพื่อเปิดตัวแคมเปญการระบุเป้าหมาย (คีย์เวิร์ด) แบบจัดการด้วยตนเอง เลือก 'การกำหนดเป้าหมายเอง' ใต้ 'การระบุเป้าหมาย' และเลื่อนลงไปเพื่อเลือก 'การระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ด' ใน 'ส่วนการระบุเป้าหมาย'

เคล็ดลับยอดนิยม

  • ทดสอบประเภทการจับคู่ทั้งสามประเภทด้วยราคาประมูลที่แตกต่างกัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญให้สูงสุด ตัวอย่างเช่น หากคีย์เวิร์ดคำหนึ่งของคุณคือ "ชุดผ้าปูที่นอนผ้าฝ้าย Doppler" ให้เพิ่มการจับคู่แบบแบบกว้าง แบบวลี และแบบแม่นยำ และใช้ราคาประมูลที่แนะนำสำหรับคีย์เวิร์ดแต่ละคำ หากคุณจัดการราคาประมูลที่ระดับกลุ่มโฆษณา แทนที่จะเป็นระดับคีย์เวิร์ดแต่ละรายการ เราขอแนะนำให้ใช้การเพิ่มและลดราคาประมูลแบบไดนามิกเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
  • เมื่อตั้งค่าราคาประมูลด้วยตนเอง เราขอแนะนำให้ตั้งค่าราคาประมูลสูงสุดสำหรับการจับคู่แบบแม่นยำ ใช้ราคาที่ต่ำกว่าสำหรับการจับคู่วลี และราคาประมูลต่ำสุดสำหรับการจับคู่คีย์เวิร์ดแบบกว้าง ทดสอบประเภทการจับคู่ต่าง ๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์เพื่อรวบรวมข้อมูลให้เพียงพอก่อนที่จะหยุดการใช้คีย์เวิร์ดใด ๆ และไม่ต้องกังวล คุณไม่ต้องประมูลแข่งกับตัวเองด้วยการเพิ่มประเภทการจับคู่ที่คนละแบบสำหรับคีย์เวิร์ดเดียวกัน

ประเภทคีย์เวิร์ด

คุณอาจเคยได้ยินคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเภทของคีย์เวิร์ด รวมถึงคีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์และคีย์เวิร์ดหมวดหมู่

มาดูตัวเลือกเหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

  • คีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับแบรนด์ของคุณหรือแบรนด์ที่คุณขาย โดยจะมีเฉพาะชื่อแบรนด์ (เช่น KitchenSmart) รวมถึงชื่อแบรนด์และคำอื่น ๆ ผสมกัน (เช่น เครื่องชงกาแฟ KitchenSmart) ลองทำการประมูลคีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์ของคุณเป็นกลยุทธ์การป้องกันแบรนด์ เนื่องจากคู่แข่งอาจประมูลคีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์ของคุณด้วยเช่นกัน
  • คีย์เวิร์ดหมวดหมู่ คือคีย์เวิร์ดที่ไม่มีชื่อแบรนด์ (ทั่วไป) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือหมวดหมู่ใด ๆ คำเหล่านั้นอาจเป็นคีย์เวิร์ดที่ไม่มีคำขยาย (กล่าวคือ กลุ่มคำ 1-3 คำ เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง”) หรือคีย์เวิร์ดที่มีคำขยาย (การผสมคำ โดยปกติจะใช้คำ 3 คำขึ้นไปเวลาค้นหาสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น ชื่อเต็มของสินค้า) เพื่อกระตุ้นการรับรู้ ให้มุ่งเน้นที่การสร้างคีย์เวิร์ดหมวดหมู่ชอร์ตเทลให้กว้าง หากต้องการกระตุ้นการพิจารณาและคอนเวอร์ชัน ให้เน้นที่คีย์เวิร์ดลองเทลที่เจาะจงมากขึ้น นอกจากนี้ หากคุณกำลังประมูลหมวดหมู่คีย์เวิร์ดอยู่หลายแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่โฆษณาอยู่หลายตัว ให้กำหนดราคาประมูลตามลำดับความสำคัญของสินค้าแต่ละรายการ การทำเช่นนี้จะทำให้สินค้าที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดของคุณมีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้อยู่ในตำแหน่งโฆษณาบนสุด ในขณะที่ยังทำให้สินค้าที่มีลำดับความสำคัญต่ำกว่าของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหาด้วย

ทำการค้นคว้า

การค้นคว้าคำอธิบายที่ใช้ในหน้ารายละเอียดสินค้าที่คล้ายกันและการสำรวจว่าแบรนด์อื่น ๆ ในหมวดหมู่สินค้าเดียวกับของคุณอธิบายสินค้าของพวกเขาอย่างไรอาจเป็นประโยชน์ ใช้ข้อมูลเชิงลึกนี้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกคีย์เวิร์ดของคุณเอง นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้าที่อาจคุ้นเคยกับแบรนด์อื่น ๆ ในหมวดหมู่ของคุณ แต่ยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ ค้นพบสินค้าของคุณได้

หมายเหตุสำหรับผู้แต่ง Kindle Direct Publishing (KDP) และผู้จำหน่ายหนังสือ

เราแนะนำให้เลือกช่วงของคีย์เวิร์ดตั้งแต่แบบกว้างไปจนถึงแบบเฉพาะเจาะจงในแคมเปญ เลือกคำแบบกว้างเพื่ออธิบายหนังสือและหมวดหมู่โดยรวม (ตัวอย่างเช่น: eBook Best Sellers, ผู้แต่งชื่อดัง) ประเภทที่เกี่ยวข้อง (ตัวอย่างเช่น: ผู้แต่งผู้หญิง คลาสสิก) ผู้แต่งหรือสำนักพิมพ์ที่คล้ายกัน (ตัวอย่างเช่น Charlotte Brontë, Penguin Classics) และคำศัพท์ ธีม หรือหมายเลขประจำตัวมาตรฐานของ HAQM ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือของคุณ (ตัวอย่าง: Heathcliff, ASIN 0141439556)

ไปที่ ‘ภาพรวมแคมเปญ’ ในบัญชีของคุณ และเลือกแคมเปญที่คุณต้องการเพิ่มคีย์เวิร์ดลงไป หากคุณต้องการเปิดตัวแคมเปญการระบุเป้าหมาย (คีย์เวิร์ด) ด้วยตนเองใหม่ ให้ไปที่ตัวสร้างแคมเปญในบัญชีของคุณ

เลือกการระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ดเมื่อ:

  • คุณรู้ว่าต้องการระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ดคำไหน
  • คุณต้องการควบคุมการระบุเป้าหมายและการใช้จ่ายของคุณให้ดียิ่งขึ้น
  • คุณต้องการระบุคีย์เวิร์ดบางคำเพื่อให้โฆษณาของคุณปรากฏ และปรับราคาประมูลให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของคุณ

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ดได้ที่หน้าช่วยเหลือของเรา

การระบุเป้าหมาย (สินค้า) ด้วยตัวเองด้วย Sponsored Products

การระบุเป้าหมายสินค้าเป็นการระบุเป้าหมายด้วยตัวเองประเภทหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถระบุเป้าหมายสินค้า หมวดหมู่ แบรนด์ หรือฟีเจอร์อื่น ๆ ของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรายการโฆษณาของคุณ คุณสามารถระบุเป้าหมายสินค้าแต่ละรายการหรือทั้งหมวดหมู่ (เช่น "รองเท้าวิ่งผู้หญิง") ปรับแต่งเป้าหมายหมวดหมู่เพิ่มเติมตามคุณสมบัติของสินค้า เช่น แบรนด์ ช่วงราคา การจัดอันดับ ความเข้าเกณฑ์ในการส่งแบบ Prime Shipping และอื่น ๆ

เมื่อทำการระบุเป้าหมายสินค้า โฆษณาของคุณจะมีคุณสมบัติเหมาะสมจะได้จำนวนการแสดงผลของโฆษณาในหน้ารายละเอียดสินค้า เช่นเดียวกับหน้าผลการค้นหาที่สินค้าระบุเป้าหมายปรากฏขึ้นในผลการค้นหาอันดับต้น ๆ

มีหลายวิธีในการเริ่มต้นการระบุเป้าหมายสินค้า:

  • ใช้เมทริกซ์จากแคมเปญการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ
  • ใช้เป้าหมาย "แนะนำ"
  • เริ่มต้นด้วยการระบุเป้าหมายหมวดหมู่

มาดูตัวเลือกเหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

ใช้ตัวชี้วัดจากแคมเปญการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ ตรวจสอบรายงานข้อความค้นหาสำหรับแคมเปญการระบุเป้าหมายอัตโนมัติ ASIN ที่ระบุเป้าหมายที่สร้างยอดคลิกหรือการคอนเวอร์ชันจะปรากฏขึ้นในคอลัมน์ “คำค้นหา” ASIN มีความยาว 10 อักขระเสมอ และเป็นตัวเลขทั้งหมด (เช่น 0015366456) หรือขึ้นต้นด้วย "B" (เช่น “B00JPFUVUU”) สิ่งเหล่านี้สามารถเพิ่มในแคมเปญการระบุเป้าหมายสินค้าเป็นเป้าหมายได้

ใช้เป้าหมาย "แนะนำ" เมื่อสร้างแคมเปญการระบุเป้าหมายสินค้า ให้ตรวจสอบแท็บ "แนะนำ" เพื่อดูคำแนะนำการระบุเป้าหมาย สินค้าเหล่านี้ได้รับการระบุตามปฏิสัมพันธ์ของนักช้อป เช่น สินค้าที่พวกเขามักดู คลิก และซื้อพร้อมกับสินค้าที่คุณโฆษณา

เริ่มต้นด้วยการระบุเป้าหมายหมวดหมู่ แท็บ “แนะนำ” ที่อยู่ใต้ตัวเลือกการระบุเป้าหมายหมวดหมู่จะแนะนำหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องที่คุณสามารถใช้ในการระบุเป้าหมาย รายงานข้อความค้นหาจะแสดง ASIN แต่ละรายการภายใต้หมวดหมู่นี้ซึ่งสร้างยอดคลิกและคอนเวอร์ชัน ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อปรับแต่งการระบุเป้าหมายไปยัง ASIN แต่ละรายการ

ไปที่ตัวสร้างแคมเปญในบัญชีของคุณเพื่อเปิดตัวแคมเปญการระบุเป้าหมาย (สินค้า) ด้วยตนเอง เลือก 'การระบุเป้าหมายด้วยตนเอง' ใต้ 'การระบุเป้าหมาย' และเลื่อนลงไปเพื่อเลือก 'การระบุเป้าหมายสินค้า' ใน 'ส่วนการระบุเป้าหมาย'

โปรดจำไว้ว่า

อย่าลืมวัตถุประสงค์การโฆษณาของคุณเวลาที่ทำการกำหนดแคมเปญการระบุเป้าหมายสินค้า หากคุณกำลังมุ่งกระตุ้นการรับรู้ ให้ระบุเป้าหมายหมวดหมู่และ ASIN ในช่วงกว้าง หากเป้าหมายคือการเพิ่มการพิจารณาสินค้า ให้จำกัดหมวดหมู่และ ASIN ที่ระบุเป้าหมายไปยังหมวดหมู่/ASIN ที่คล้ายคลึงกัน หากคุณต้องการเพิ่มจำนวนคอนเวอร์ชันให้ได้สูงสุด ให้จำกัดการใช้การระบุเป้าหมายหมวดหมู่ และเน้นที่การระบุเป้าหมาย ASIN สำหรับสินค้าที่ได้รับการจัดอันดับคะแนนสูง

เลือกการระบุเป้าหมายสินค้าเมื่อ:

  • คุณรู้ว่าคุณต้องการระบุเป้าหมายสินค้าหรือหมวดหมู่ไหน และต้องการสร้างการเข้าถึงแบบกว้าง ไม่ใช่การระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าแบบเฉพาะเจาะจง
  • คุณกำลังเปิดตัวแคมเปญในตลาดต่างประเทศ และไม่ต้องการพึ่งพาการแปลเพื่อทำการค้นคว้าคีย์เวิร์ด

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายสินค้าผ่านหน้าช่วยเหลือของเรา

การระบุเป้าหมายเชิงลบด้วย Sponsored Products

คีย์เวิร์ดเชิงลบช่วยป้องกันไม่ให้โฆษณาไปปรากฏบนหน้าผลการช้อปปิ้งที่ไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญของคุณ

ระดับการควบคุมที่สูงขึ้นนี้สามารถช่วยพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพโฆษณาของคุณ เช่นอัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น (CTR) ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS)และต้นทุนต่อคลิก (CPC)

นี่คือตัวอย่าง:

คุณกำลังทำโฆษณาสำหรับเลนส์กล้องถ่ายรูป วัตถุประสงค์แคมเปญของคุณ คือเพื่อให้โฆษณาของคุณปรากฏบนสินค้าเสริม แต่คุณพบว่าโฆษณาดังกล่าวปรากฏถัดจากกล้องที่ไม่เข้ากันได้ โดยการเพิ่มกล้องนี้เป็น ASIN ในเชิงลบ คุณสามารถหยุดโฆษณาของคุณไม่ให้ปรากฏที่นั่น และช่วยป้องกันให้ไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับตำแหน่งโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ

การกำหนดเป้าหมายสินค้าทำให้คุณสามารถเพิ่มรายการเชิงลบของสินค้าเพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาไปปรากฎในหน้าสินค้าของ ASIN

พิจารณาการเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบต่อไปนี้

การระบุเป้าหมายคีย์เวิร์ด:

  • คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพต่ำ
  • คำที่ใช้ในการช้อปปิ้งที่คุณไม่ต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏเมื่อมีการใช้คำ ๆ นั้น

การกำหนดเป้าหมายสินค้า:

  • ASINs ที่มีประสิทธิภาพต่ำ
  • ASINs ที่คุณไม่ต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏด้วย
  • ASINs ที่ไม่ได้เสริมในกลุ่มโฆษณา

การจับคู่แบบกลุ่มคำหรือการจับคู่แบบแม่นยำด้วยคีย์เวิร์ดเชิงลบ:

  • กลุ่มคำเชิงลบ: โฆษณาจะไม่ปรากฎขึ้นเมื่อใช้คำค้นหาในการช้อปปิ้งที่มีกลุ่มคำเหมือนกันโดยสมบูรณ์หรือมีความใกล้เคียง
  • การจับคู่แบบแม่นยำเชิงลบ: โฆษณาจะไม่ปรากฎขึ้นเมื่อใช้คำค้นหาในการช้อปปิ้งที่มีกลุ่มคำตรงกันแบบแม่นยำหรือคำที่ผันแบบใกล้เคียงกัน

ไปที่ ‘ภาพรวมแคมเปญ’ ในบัญชีของคุณ และคลิกชื่อของแคมเปญที่คุณต้องการเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ ไปที่แท็บ 'คีย์เวิร์ดเชิงลบ' เพื่อใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบกับแคมเปญของคุณ

หมายเหตุ: คุณสามารถเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบสำหรับทั้งแคมเปญหรือเลือกใช้เฉพาะกับบางกลุ่มโฆษณาก็ได้ หากคุณต้องการเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบลงในบางกลุ่มโฆษณาได้โดยการคลิกที่ชื่อกลุ่มโฆษณานั้นแล้วไปที่ 'แท็บการระบุเป้าหมายเชิงลบ'

โปรดจำไว้ว่า

คุณสามารถเพิ่มการระบุเป้าหมายเชิงลบได้ทั้งตอนสร้างแคมเปญใหม่และตอนแก้ไขแคมเปญที่ดำเนินการอยู่โดยไปที่แท็บ 'การระบุเป้าหมายเชิงลบ' ก่อนตัดสินใจเพิ่มคีย์เวิร์ดเป็นเป้าหมายเชิงลบ เราขอแนะนำให้ประเมินประสิทธิภาพหลังจากได้รับยอดคลิกอย่างน้อย 20 ครั้ง โปรดจำไว้ว่า การเพิ่มเป้าหมายเชิงลบไม่ใช่การดำเนินการถาวร คุณสามารถลบออกได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ปล่อยให้คีย์เวิร์ดเชิงลบของคุณทำงานเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กับกลยุทธ์ของคุณ

การตั้งค่าการระบุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สำหรับแคมเปญของ Sponsored Products

วิธีดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์

เวลาเปิดตัวแคมเปญของ Sponsored Products ใหม่ คุณอาจมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น คุณอาจกำลังสนับสนุนการเปิดตัวสินค้าด้วยการโฆษณา เพื่อทำให้แน่ใจว่าสินค้าใหม่ของคุณได้รับการมองเห็น คุณอาจต้องการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าที่มีอยู่ของคุณ หรือช่วยเพิ่มดีลและคูปองของคุณ หรือคุณอาจต้องการเพิ่มการเข้าถึงและช่วยให้แบรนด์ของคุณมีส่วนร่วมกับนักช้อปมากขึ้นในร้านค้าของ HAQM

เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายธุรกิจของคุณ

เวลาที่สร้างแคมเปญ การกำหนดวัตถุประสงค์หลักสามารถช่วยให้คุณเลือกวิธีการระบุเป้าหมายและสินค้าที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ทบทวนเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายธุรกิจที่คุณต้องการดำเนินการสำหรับแต่ละสินค้าที่คุณขาย ทำการกำหนดราคา ความพร้อมจำหน่าย และหมวดหมู่ เพื่อให้คุณสามารถจัดกลุ่มสินค้าของคุณอย่างมีเหตุผลภายในแคมเปญของคุณ

ถัดไป เลือกกลยุทธ์แคมเปญของคุณ

เลือกกลยุทธ์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของคุณมากที่สุด โดยดูตามวัตถุประสงค์การโฆษณาหลักของคุณ:

  • ขยาย: มุ่งเน้นไปที่คีย์เวิร์ดและสินค้าหมวดหมู่ที่มีจำนวนการเข้าชมสูง
  • โปรโมต: สร้างแคมเปญเฉพาะเพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าด้วยคูปอง
  • ปกป้อง: มุ่งเน้นไปคีย์เวิร์ดที่มีชื่อแบรนด์และการระบุเป้าหมาย
  • พิชิต: ระบุเป้าหมายสินค้าของคู่แข่ง
  • เพิ่มมูลค่าการขาย: ใช้คีย์เวิร์ดที่มุ่งไปที่สินค้าที่มีราคาสูงขึ้น เช่น สินค้าที่คุณกำลังโฆษณาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
  • การขายข้ามผลิตภัณฑ์: ระบุเป้าหมายสินค้าในหมวดหมู่ที่อยู่ติดกัน

6 เคล็ดลับที่ต้องจำ

  • การสร้างแคมเปญ สร้างแคมเปญได้มากเท่าที่จำเป็นและจัดโครงสร้างด้วยวิธีการที่ช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังมองหาวิธีการการปรับ ROAS ให้เหมาะสมสำหรับสินค้าตัวหนึ่งของคุณ แต่ก็ต้องการกระตุ้นการรับรู้และต้องการสร้างจำนวนการแสดงผลของโฆษณาสำหรับสินค้าอื่นด้วย เราขอแนะนำให้กำหนดกลุ่มโฆษณาแยกกันสองกลุ่มภายในแคมเปญเดียวกัน หรือกำหนดแคมเปญสองกลุ่มแยกกัน
  • ชื่อกลุ่มโฆษณา: ตั้งชื่อกลุ่มโฆษณาที่มีคำอธิบายและมีความหมายกับคุณ ชื่อกลุ่มโฆษณาในหนึ่งแคมเปญจะต้องไม่ซ้ำกัน อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้ชื่อเดียวกันในแคมเปญอื่นได้
  • สินค้า: เลือกสินค้าที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดกลุ่มไว้ด้วยกันในกลุ่มโฆษณา คีย์เวิร์ด การระบุเป้าหมายสินค้า/หมวดหมู่ และการประมูลจะปรับใช้กับสินค้าทั้งหมดภายในกลุ่มโฆษณา คุณสามารถเพิ่มสินค้าได้สูงสุด 1,000 รายการต่อกลุ่มโฆษณา หากคุณมี ASINs ไม่มากนัก เราขอแนะนำให้ใช้ ASIN หนึ่งรายการต่อหนึ่งแคมเปญและกำหนดงบประมาณที่คุณยินดีจ่ายให้กับ ASIN นั้น ๆ
  • การแก้ไขแคมเปญ: คุณสามารถเพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มโฆษณาได้ตลอดเวลา คุณยังสามารถเพิ่มกลุ่มโฆษณาในแคมเปญหลังจากทำการบันทึกแล้วได้
  • กลยุทธ์การระบุเป้าหมาย: เราขอแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงการผสมผสานกลยุทธ์การระบุเป้าหมายหลาย ๆ แบบเข้าด้วยกันภายในแคมเปญและกลุ่มโฆษณาเดียวกัน นี่คือวิธีการรับประกันความสอดคล้องระหว่างกลวิธีในการโฆษณาและ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI) สำหรับการตรวจวัด ตัวอย่างเช่น กลวิธีการพิจารณาซื้อสามารถวัดผลได้จากการจำนวนการแสดงผลของโฆษณาหรืออัตราการคลิกผ่าน แต่กลวิธีการคอนเวอร์ชันอาจวัดผลได้จากยอดขาย
  • การปรับประสิทธิภาพการทำงานให้เหมาะสม: ปรับแคมเปญของคุณให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอโดยนำสิ่งที่คุณเรียนรู้จากรายงานของคุณไปใช้ คุณควรสร้างเกณฑ์มาตรฐานตามเป้าหมายและประสิทธิภาพในอดีตของแคมเปญคุณ จากนั้น วัดผลประสิทธิภาพของคุณกับสิ่งเหล่านี้เพื่อพิจารณาว่ากลยุทธ์ของคุณตรงตามวัตถุประสงค์ของคุณหรือไม่ อย่าลืมกำหนดรายงานตามกำหนดเวลารายสัปดาห์หรือรายเดือนเพื่อส่งอีเมลถึงคุณ และตรวจสอบประสิทธิภาพของคุณในโปรแกรมจัดการแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ เมื่อใดก็ตามที่คุณแก้ไขแคมเปญของคุณในโปรแกรมจัดการแคมเปญ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าแคมเปญที่แนะนำซึ่งคุณสามารถเพิ่มลงในแคมเปญของคุณด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง

นี่คือตัวอย่างโครงสร้างแคมเปญและกลุ่มโฆษณา:

การระบุเป้าหมาย

โครงสร้างแคมเปญสามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพการโฆษณาอย่างไร

นี่คือตัวอย่าง

คุณกำลังใช้งานแคมเปญของ Sponsored Products ในการจำหน่ายสินค้าที่มีแพ็กหลายขนาด หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน คุณสังเกตเห็นว่าขนาดแพ็กที่เล็กที่สุดได้รับจำนวนการแสดงผลของโฆษณาเกือบ 100% ในแคมเปญ คุณรู้สึกพอใจกับ ROAS ของแคมเปญ แต่ต้องการเพิ่มการมองเห็นสำหรับขนาดแพ็กที่ใหญ่ขึ้น

นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้

ในกรณีนี้ เราขอแนะนำให้แบ่งแคมเปญของคุณออกเป็นกลุ่มโฆษณาหรือแคมเปญตามคีย์เวิร์ดหลายกลุ่ม เพื่อระบุเป้าหมายตามขนาดบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกัน และกำหนดคีย์เวิร์ดของคุณสำหรับบรรจุภัณฑ์ขนาดต่าง ๆ

ไปที่ "ภาพรวมแคมเปญ" ในบัญชีของคุณเพื่อเปิดตัวแคมเปญใหม่ หรือปรับแคมเปญที่มีอยู่ให้เหมาะสม

รายการตรวจสอบการระบุเป้าหมาย Sponsored Products

หวังว่าคุณจะพบว่าคุณจะได้ประโยชน์จากคู่มือที่ครอบคลุมนี้ และมีความพร้อมที่จะปรับแคมเปญของ Sponsored Products ของคุณให้เหมาะสมโดยใช้การระบุเป้าหมาย

หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการระบุเป้าหมายเพิ่มเติมลองเข้าร่วมการสัมมนาผ่านเว็บเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของเรา

ต่อไปนี้คือเคล็ดลับยอดนิยมบางประการที่ควรจดจำเวลาทำการปรับแคมเปญของคุณให้เหมาะสม:

  • ใช้แนวทางแบบเปิดเสมอ พิจารณาการมีแคมเปญที่ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เพื่อให้นักช้อปมีโอกาสมองเห็นโฆษณาของคุณอยู่เสมอ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขากำลังมองหาสินค้าที่คล้ายกับสิ่งที่คุณกำลังโฆษณา
  • เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ลองเริ่มต้นด้วยประเภทการระบุเป้าหมายประเภทเดียว อาจเป็นการระบุเป้าหมายแบบอัตโนมัติหรือแบบที่ทำด้วยตนเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณคุ้นเคยกับการโฆษณาดิจิทัลโดยทั่วไปมากเพียงใด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sponsored Products แคมเปญอัตโนมัติสามารถเปิดตัวได้ง่ายและรวดเร็ว แคมเปญ (คีย์เวิร์ดหรือสินค้า) ด้วยตนเองช่วยให้คุณควบคุมประสิทธิภาพของแคมเปญได้มากขึ้น
  • ทดสอบและเรียนรู้ หลังจากเปิดตัวแคมเปญแรกและมองเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นแล้ว ให้เปิดตัวอีกแคมเปญที่มีประเภทการระบุเป้าหมายที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบว่าแบบใดดีที่สุดสำหรับคุณ ทดสอบประเภทการจับคู่ทั้งหมดในแคมเปญที่ระบุเป้าหมายจากคีย์เวิร์ดของคุณ ต่อยอดการเรียนรู้ของคุณ เพิ่มสินค้าเข้าไปอีกเพื่อเพิ่มยอดขาย และปรับแคมเปญของคุณให้เหมาะสม
  • หมั่นกลับมาดูคำแนะนำในการปรับแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ ลงชื่อเข้าใช้คอนโซลการโฆษณาและตรวจสอบคำแนะนำในการปรับแคมเปญให้เหมาะสม รวมถึงคีย์เวิร์ดและการประมูลใหม่ ๆ
  • พิจารณาเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ จัดการประสิทธิภาพของแคมเปญให้ดีขึ้นโดยการยกเว้นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่คุณไม่ต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏขึ้น

หากคุณมีประสบการณ์ไม่มาก โปรดติดต่อเราเพื่อขอรับบริการแบบมีการจัดการโดย HAQM Ads มีข้อกำหนดด้านงบประมาณขั้นต่ำ